บทความเกี่ยวกับ MOSH และ MOAH

คำอธิบายสำหรับบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับ MOSH และ MOAH
ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวของน้ำมันแร่ (MOSH) และไฮโดรคาร์บอนอะโรมาติกของน้ำมันแร่ (MOAH)
รายละเอียดของปัญหา
สื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับต่างตีพิมพ์เรื่องราวที่คล้ายคลึงกันในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยดึงความสนใจไปยัง "น้ำมัน" ที่พบในอาหาร ไม่นานน้ำมันดังกล่าวก็นำมาเชื่อมโยงถึงน้ำมันแร่ (Mineral Oil) คำว่า MOSH และ MOAH จึงปรากฏขึ้น อาจกล่าวได้ว่าทั้งภาครัฐและภาคองค์กรพัฒนาเอกชนยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าหมายถึงอะไร และในไม่ช้าก็มองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ นอกจากนี้เมื่อมีการทดสอบกับผลิตภัณฑ์ที่ให้เด็กรับไประทาน เช่น อาหารเช้าซีเรียบและช็อกโกแลต จึงยิ่งกลายเป็นประเด็น ผลที่ตามมาทันทีคือ ความเสียหายทางการค้าอย่างร้ายแรงต่อผูํ้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลง และหนึ่งในข้อความที่แพร่หลายคือ MOAH ที่พบอาจก่อให้เกิดมะเร็ง ส่วน MOSH เชื่อมโยงกับความเสียหายของตับ คำเตือนประเภทนี้มักจะเป็นที่สนใจอย่างมากและถูกนำมาพูดซ้ำโดยองค์กรผู้บริโภคหลายแห่ง ส่งผลให้หน่ายงานของรัฐที่รับผิดชอบด้านสุขภาพของมนุษย์จำเป็นต้องดำเนินการโต้ตอบในทันที แต่กระนั้นข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญเนื่องจากภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับอุตสาหกรรม และบ่อยครั้งการอธิบายการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนต่อสาธารณชนที่หวาดกลัวก็เป็นความยากลำบาก
ในช่วงไม่กี่เดือนผู้ผลิตสารหล่อลื่นคุณภาพสูงซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "สารหล่อลื่นเกรดอาหาร" หรือความหมายที่เฉพาะเจาะจงกว่า คือ "สารหล่อลื่นสำหรับการสัมผัสกับอาหารโดยบังเอิญ- H1" ได้รับการร้องขอจากลูกค้าให้ทำการผลิตสารหล่อลื่นที่ปลอด MOSH และ MOAH
บทสรุปของจุดเริ่มต้นดังกล่าว คือ ความเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถผลิตสารหล่อลื่นจากน้ำมันแร่โดยปราศจากทั้ง MOSH และ MOAH เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถผลิตเบคอนไร้ไขมันได้
จากการทบทวนเอกสารตีพิมพ์ล่าสุดหมายความว่าปัญหานี้ร้ายแรง โชคดีที่ CONCAWE มีความกระตือรือร้นในการวิเคราะห์ปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งหมายความว่า มีการทดสอบจำนวนมากโดยใช้ต้นทุนอย่างต่อเนื่องและเวลาที่มาก นอกจากที่ยังมีการค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดเป็นเวลา 2 ปี จากเอกสารที่เก็บไว้ รวมถึงการศึกษาและตัวอย่างที่ครอบคลุมมากกว่า 30 ปี ปัญหาคือ ข้อมูลเหล่านี้กระจากไปทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา และจำเป็นต้องนำมารวมกัน งานใหญ่ที่ดำเนินการโดยคุณฮวน-คาร์ลอส คาร์ริลโล นักพิษวิทยาอาวุโสของเชลล์ และประธานคณะทำงาน MOCRINIS (ปัญหาน้ำมันแร่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ) ภายใต้การสนัลสนุนที่เข็งแกร่งจาก CONCAWE
MOAH
เนื่องจากเป็นคำอธิบายสำหรับบุคคลทั่วไป จึงจะยกตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับทุกคน หลายปีก่อนเราเรียนรู้ว่าคอเลสเตอรอลนั้นไม่ดีหรือเป็นอันตราย จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า คอเลสเตอรอลมีหลายประเภทมีทั้งดีและไม่ดี
การศึกษาที่สรุปผลเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้แสดงผลที่คล้ายกันว่า MOAH มีทั้งดีและไม่ดีเช่นเดียวกัน ข่าวดี คือ MOAH ที่ไม่ดีทั้งหมดมี PAC (สารประกอบโพลีไซคลิกอะโรมาติก) ตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไปถูกนำออกจากน้ำมันด้วยกระบวนการกลั่นขั้นสูง สารประกอบที่มีเลขวงแหวนพันธะที่สูงเหล่านี้เป็นสารที่ไม่ต้องการให้อยู่ในร่างกายแน่นอน
MOAH ที่มีวงแหวนพันธะ PAC ที่ต่ำกว่า คือ 1 และ 2 ตัว ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเนื่องจากเชิงโครงสร้างของพันธะเอง ซึ่งได้รับการพิสูจน์โดยใช้ความรู้ทางพิษวิทยาและการทดสอบสารก่อมะเร็งแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากมีการตรวจวัดโดยไม่มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ MOAH เลยจะพบเพียงตัวเลขค่าหนึ่ง และหากตีความว่าเป็น MOAH ที่ "ไม่ดี" แล้วจะเกิดการสร้างความกังวัลขึ้น ประเด็นสำคัญคือไม่มี MOAH ที่ "ไม่ดี" อยู่ในน้ำมันหล่อลื่นการปนเปื้อนของ MOAH ที่ไม่ดีอาจมีอยู่ในอาหารก่อนแล้ว และสาเหตุก็ไม่ได้มาจากน้ำมันหล่อลื่น แต่อาจจะเกิดขึ้นจากกรรมวิธีด้านสุขอนามัยอุตสาหกรรมที่ไม่ดี ในระหว่างการผลิตหรือการขนส่ง (ตัวอย่าง การปนเปื้อนของน้ำมันเครื่องใช้แล้ว)
MOSH
MOSH นั้นพบอยู่ในผลิตภัณฑ์และจะยังคงอยู่ตลอดไป ตรวจสอบแล้วอาจเป้นไปได้ว่ามาจากสารหล่อลื่น แม่พิมพ์ถอดแบบ สารเติมแต่งอาหาร สาเหตุด้านสิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ จากผลนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สามารถติดตามแหล่งที่มาดั้งเดิมของ "การปนเปื้อน" และกลายเป้นที่มาของคำถามว่า: ปัญหาคืออะไร
การใช้งานผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นต้องแยกเป้น 2 ประเด็นหลัก คือ สารหล่อลื่นจากน้ำมันไวท์ออยล์ทางเทคนิค (Technical White Oil) ที่ใช้หล่อลื่นอุปกรณ์การผลิตอาหาร เป็นสารหล่อลื่นชนิด H1 ที่สามารถสัมผัสอาหารได้โดยบังเอิญ จึงไม่สมควรที่จะปะปนและสัมผัสกับอาหารโดยตรง หากเกิดขึ้นก็จะถือว่าเป็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ และตามหลักอาหารในกระบวนการควรถูกกำจัดทิ้ง แนนอนว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับการออกแบบด้วยองค์ประกอบที่ผ่านการรับรองสำหรับการใช้งานที่ปลอดภัย หากเกิดการรั่วไหลเพียงเล็กน้อยก็ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้องค์การอาหารและยา (FDA) จึงได้ขีดกำหนดสูงสุดไว้ที่ 10 p.p.m. (หนึ่งส่วนต่อล้านส่วน) น้ำมันไวท์ ออยล์ จึงถือว่าไม่เป็นอันตราย แต่ไม่ตรงตามข้อกำหนดทางเทคนิคที่ว่าเป็นน้ำมันที่สัมผัสอาหารได้โดยตรง
สารหล่อลื่นชนิดที่สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรงเรียกว่า 3H ซึ่งจัดอยู่ในประเภทสารปรุงแต่งอาหาร และรวมถึงสารหล่อลื่นถอดแบบแม่พิมพ์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นน้ำมันไวท์ ออยล์ ทางการผลิตยา (ยังคงมี MOSH และ MOAH) ประเด็นสำคัญ คือ องค์การอาหารและยา (FDA) ขีดกำหนดที่ชัดเจนสำหรับปริมาณที่ใช้ได้ หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) ก็กำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดมากเช่นกัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทเรียกว่า กลุ่มที่ 1, 2, และ 3 ซึ่งจุดสำคัญที่ควรทราบ คือ ความหนืดของสารหล่อลื่น ยิ่งโมเลกุลใหญ่ขึ้นเท่าใด ความหนืดก็จะยิ่งสูงขึ้น และความกังวลก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น หมายความว่า สารหล่อลื่นที่มีความหนืด 100 cSt จะมี ADI (ปริมาณที่ยอมรับได้ต่อวัน) สูงกว่า (กลุ่มที่ 1 ขีดกำหนดสูงสุดที่ 12 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว) ผลิตดภัณฑ์ที่มีความหนืด 68 cSt (ADI ต่ำมาก)
การทดสอบเชิงวิเคราะห์ที่ดำเนินการโดยฝ่ายเกี่ยวข้อง ไม่เพียงแต่หาปริมาณ MOSH ทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงขนาดโมเลกุล เพื่อพิจารณาว่ามีความเสี่ยงหรือเป็นการละเมิดข้อกำหนดหรือไม่ ดูเหมือนว่าการทดสอบต่าง ๆ ขององค์กรผู้บริโภคจะไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ จึงเกิดเป็นข้อกังวลดังกล่าวด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้องว่า MOSH ในกระบวนการผลิตอาหารมีผลทดสอบเป็นผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ และยังได้รับการยืนยันจากแพทย์อีกด้วย
ข้อกังวลของ MOSH เกี่ยวกับความเป็นพิษต่อตับนั้นเชื่อมโยงกับค่าความหนืดต่ำของน้ำมัน (กลุ่มที่ 2 และ 3) จึงไม่ได้รับการยินยอมให้ใช้สำหรับการใช้งานแบบ 3H ผลกระทบต่อตับที่เชื่อมโยงกับน้ำมันเหล่านี้ พบได้ในหนูชนิดหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากสัตย์อื่น ๆ และมนุษย์ นักพิษวิทยามีความเห็นว่า ผลการทดสอบนี้อาจเป็น "ผลบวกปลอม" และผลกระทบต่อตับนั้นมีลักษณะเฉพาะสำหรับหนูชนิดนี้ และไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์
ข้อสรุป:
* ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นหากผลิตภายใต้มาตรฐานที่ขึ้นทะเบียบไว้กับ INS หรือ NSF นั้นย่อมปลอดภัย แม้ว่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะยังคงมี MOSH และ MOAH ก็ตาม
* สารหล่อลื่นชนิด 3H หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) ระบุให้ใช้การจำแนกโดยขนาด ความหนืด และโมเลกุล
* องค์การพัฒนาเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ยังจำเป็นต้องทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้